วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556


       หลายคนคงจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "การศึกษาพัฒนาประเทศ" บ่อยมาก แล้วทุกคนเคยสังเกตไหมคะว่า ส่วนมากประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นระบบการศึกษาของประเทศเขาดีมาก เช่น ในทวีปเอเชียของเรานะคะต้องประเทศญี่ปุ่นเลยค่ะ เด็กนักเรียนของประเทศนี้นอกจากจะ น่ารัก หล่อ ขาว ชุดนักเรียนก็น่ารักเป็นชุดในฝันของเด็กไทยหลายๆคนจนเอามาแต่ง cosplay แล้ว (ออกไปโพ้นทะเล)..... กลับมาค่ะกลับมา  เด็กญี่ปุ่นเนี่ยเรียนหนักมากเลยนะคะ จริงจังกับการเรียน เพราะการสอบแข่งขันนั้นเข้มงวดมากๆเลยค่ะ เดี๋ยวเรามาดูเกี่ยวกับระบบการศึกษาของประเทศญี่ปุ่นกันเลยค่ะ

การศึกษาในสังคมของญี่ปุ่น

       วัฒนธรรมญี่ปุ่นสอนให้เคารพต่อสังคมและมีการสร้างแรงจูงใจให้อยู่รวมเป็นกลุ่มโดยให้รางวัลเป็นกลุ่มมากกว่าจะให้รางวัลเป็นบุคคล การศึกษาของญี่ปุ่นเน้นหนักในเรื่องความขยัน การตำหนิตนเอง และอุปนิสัยการเรียนรู้ที่ดี ชาวญี่ปุ่นถูกปลูกฝังว่าการทำงานหนักและความขยันหมั่นเพียรจะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต โรงเรียนจึงอุทิศให้กับการสอนทัศนคติ คุณธรรม จริยธรรมให้กับนักเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อที่จะพัฒนาอุปนิสัยและมีเป้าหมายในการสร้างประชากรที่สามารถอ่านออกเขียนได้ และปรับตัวให้เข้ากับค่านิยมและวัฒนธรรมของสังคมได้
ความสำเร็จทางการศึกษาของญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล ในการสอบวัดความรู้ด้านคณิตศาสตร์นานาชาติ เด็กญี่ปุ่นถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆมาโดยตลอด ระบบนี้เป็นผลมาจากการสมัครเข้าเรียนสูง ตลอดจนอัตราการรับ ระบบการสอบเข้า (การสอบเอนทรานซ์) โดยเฉพาะในระดับมหาวิทยาลัยมีอิทธิพลต่อการศึกษาทั้งระบบเป็นอย่างมาก รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนทางการศึกษาแต่เพียงผู้เดียว โรงเรียนเอกชนก็มีบทบาทสำคัญในด้านการศึกษา รวมถึงโรงเรียนที่อยู่นอกระบบเช่นวิทยาลัยของเอกชน ก็มีบทบาทสำคัญในการศึกษาและเป็นส่วนมากในการศึกษา
เด็กๆส่วนใหญ่จะเข้าโรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล แม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาก็ตาม ระบบการศึกษาเป็นภาคบังคับ เลือกโรงเรียนได้อิสระและให้การศึกษาที่พอเหมาะแก่เด็กๆทุกคนตั้งแต่เกรด 1 (เทียบเท่า ป.1) จนถึง เกรด 9 (เทียบเท่า ม.3) ส่วนเกรด 10 ถึงเกรด 12 (ม.4 - 6) นั้นไม่บังคับ แต่ 94% ของนักเรียนที่จบชั้นมัธยมต้น เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมปลาย ประมาณ 1 ใน 3 ของนักเรียนที่จบชั้นมัธยมปลายเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย 4 ปี junior colleges 2 ปี หรือเรียนต่อที่สถาบันอื่นๆ
ญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก และเป็นสังคมที่มีระเบียบวินัย การศึกษาเป็นสิ่งที่น่าเคารพยกย่อง และความสำเร็จเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการประสบความสำเร็จในงานและในสังคม ทุกวันนี้ มุมมองแตกต่างออกไป โรงเรียนต่างแข่งขันกันเพื่อรับนักเรียน การสอบเอนทรานซ์กลายเป็นสิ่งที่ stolid in an attempt to maintain operations ทุกวันนี้ โรงเรียนรับนักเรียนในอัตราต่ำกว่าที่รับได้มาก ถือเป็นปัญหาด้านงบประมาณขั้นรุนแรง โรงเรียนถูกสร้างเพื่อรับนักเรียน 1,000 คน แต่กลับรับนักเรียนเพียง 1 ใน 3 ของจำนวนที่รับได้ แต่นี้ไม่ได้ทำให้จำนวนนักเรียนในแต่ละห้องน้อยลง ห้องเรียนส่วนใหญ่มีนักเรียนอยู่ระหว่าง 35 - 45 คน

     ทำไม การศึกษาญี่ปุ่นถึงพัฒนา ?

        ในประเทศญี่ปุ่น การศึกษานับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เด็กญี่ปุ่นทุกคนต้องเข้าเรียนตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และถูกกำหนดให้ต้องผ่านการศึกษาภาคบังคับเป็นเวลา 9 ปี คือจบมัธยมศึกษาตอนต้น อย่างไรก็ตาม เด็กญี่ปุ่นมากกว่า 97% ศึกษาต่อจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยที่สามในสี่เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายสายสามัญ ในขณะที่หนึ่งในสี่ที่เหลือเข้าเรียนในสายอาชีพ เช่นวิทยาลัยเทคนิค และวิทยาลัยอาชีวศึกษา 25.3% ของผู้เรียนจบชั้นมัธยมปลายจะไปศึกษาต่อในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย ในขณะที่อีกหลายคนเลือกที่จะไปศึกษาในวิทยาลัยระดับอนุปริญญา วิทยาลัยเทคนิค หรือวิทยาลัยอาชีวศึกษา (หลักสูตรวิชาชีพชั้นสูง)
      หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นได้มีการปฏิรูปการศึกษา โดยระบบการศึกษาเป็นแบบ 6-3-3-4  กล่าวคือ ระดับชั้นประถมศึกษา 6 ปี ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี และระดับอุดมศึกษา 4 ปี มีจุดประสงค์หลักเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันทางการศึกษา สำหรับการศึกษาภาคบังคับได้ขยายจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 

ภาพ ระบบการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น


มาตรฐานหลักสูตรของชาติได้ถูกจัดทำขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม การกีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (The Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology : MEXT) ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนทุกๆ 10 ปี   สำหรับมาตรฐานหลักสูตรของชาติที่ใช้ในปัจจุบันเป็นมาตรฐานที่จัดทำเมื่อปี พ.ศ. 2551 โดยมีหลักการดังต่อไปนี้

1) สถานศึกษาสามารถสร้างหลักสูตรสถานศึกษาที่เหมาะสมเองได้

2) หลักสูตรสถานศึกษาต้องอยู่บนพื้นฐานของมาตรฐานหลักสูตรของชาติ
3) การพิจารณาระดับการพัฒนาทางจิตใจและร่างกาย
ในระดับประถมศึกษาแบ่งเวลาเรียน 1 คาบเรียน เท่ากับ 45 นาที
ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย 1 คาบเรียน เท่ากับ 50 นาทีในการปรับมาตรฐานหลักสูตรของชาติครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2551 นั้น ในระดับประถมศึกษาได้เพิ่มจำนวนชั่วโมงเรียนประมาณ 10% ในวิชาภาษาญี่ปุ่น สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ และพลศึกษา  ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นก็ได้เพิ่มจำนวนชั่วโมงเรียนประมาณ 10% เช่นเดียวกัน ในวิชาภาษาญี่ปุ่น สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ พลศึกษา ส่วนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวนของหน่วยกิตที่บังคับสำหรับจบการศึกษาจะต้องมีอย่างน้อย 74 หน่วยกิต





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น